นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า ทิศทางหลังจากนี้บริษัทจะเร่งขยาย 3 ธุรกิจใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้มากขึ้นและรองรับเมกะเทรนด์ของโลก ได้แก่ 1.ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยใช้พลังงานชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ ทดแทนพลังงานฟอสซิล และต่อยอดเป็นธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรมคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ล่าสุด เอสซีจี เคมิคอลส์ บริษัทลูกได้ถือหุ้น 40% ในบริษัทเด็นกะประเทศญี่ปุ่น ผลิตอะเซทิลีนแบล็กใช้เป็นส่วนประกอบในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบชาร์จไฟสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ด้วยกำลังการผลิต 11,000 ตัน และได้ลงทุนซื้อหุ้น 70% ในบริษัทซีพลาสต์ ประเทศโปรตุเกส เพื่อขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล กรีนโพลิเมอร์ป้อนตลาดยุโรปและแอฟริกา นอกจากนี้ เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ได้ขยายลงทุนในตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเทศสเปน และขยายกิจการรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ตอบรับเทรนด์รักษ์โลกคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ขณะที่ 2.ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน โดยควบรวมธุรกิจกับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ในอาเซียน ที่มีบริการคลังสินค้า ระบบห้องเย็น บริการขนส่งสินค้าทางบก เรือ อากาศบริการท่าเทียบเรือ และ 3.ธุรกิจสมาร์ทลีฟวิ่ง อาทิ นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงาน เช่นกระเบื้องฟอกอากาศ ระบบฆ่าเชื้อโรค และลดการใช้พลังงานในอาคาร ซึ่งขณะนี้ได้ติดตั้งในโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และสถาบันการศึกษาไปบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลประกอบการ 9 เดือน เอสซีจีมีรายได้รวม 447,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และมีกำไร 21,225 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากวิกฤติต้นทุนพลังงานทั่วโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ รวมทั้งปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง
“ในภาวะวิกฤติแบบนี้บริษัทจึงให้ความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพการเงินให้แข็งแกร่ง เช่น บริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายแบบรัดเข็มขัด ทบทวนการลงทุนและชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน มุ่งโครงการที่ผลตอบแทนเร็ว และลงทุนเพิ่มในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการออกหุ้นกู้ทั้งกลุ่มรวม 35,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเงินมากขึ้น”